วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
Merry X mas
ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวของปีตอนนี้ ไ่ว่าเดินไปทางไหนก็จะเห็นคุณลุงหนวดขาว
ใสชุดสีแดงที่แบกถุงผ้าเก่าๆหนึ่งใบ ไม่รู้ว่าข้างในนั้นใส่ความฝันและความหวังของ
เด็กๆไว้มากมายแค่ไหน และเสียงเพลงที่แว่วมาจากทุกๆที่ในขณะนี้็ก็คงเป็นทำนอง
เดียวกัน ซึ่งทำให้รู้สึกว่าอากาศหนาวเหมือนกับหิมะจะตกลงมาที่กรุงเทพยังไงยังงั้น
บรรยากาศของการเฉลิมฉลองในเดือนสุดท้ายของปีเป็นบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติก
ผู้คนใส่เสื้อกันหนาวออกมาเดินกันเป็นคู่ๆ ต้นไม้และเสาไฟต่างมีไฟกะพริบวูบวาบ
ดูแล้วก็อยากจะยืดเวลาของเดือนแห่งความสุขนี้ออกไปให้นานๆ แต่มีสิ่งที่ทำให้ผม
รู้สึกสนใจก็คือการที่มีกลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์ ออกมาพยายามจะเผยแพร่ศาสนา
ให้กับคนทั่วไปในช่วงเดือนที่พระเจ้าจะเสด็จกลับมายังโลกมนุษย์ ถ้าลองมาคิดดูแล้ว
ก็คงจะคล้ายกับวันวิสาขบูชาของศาสนาพุทธ แต่บรรยากาศของวันสำคัญทั้งสองนี้
กลับแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งๆที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีศาสนานาพุทธ
เป็นศาสนาประจำชาติ แต่ความจริงของโลกที่เชื่อมต่อกันทุกวันนี้ทำให้การยืนถ่ายรูป
กับตุ๊กตาหิมะเป็นเรื่องที่น่ากระทำมากกว่าการทำบุญที่วัดในวันพระ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่อง
ที่แปลกอะไรมากมายนัก เพราะว่าเพลง Merry x mas ร้องง่ายกว่า กว่าศีล 5 ตั้งเยอะ
วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551
LongNoseShrimp
ตอนนี้ได้มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในตู้กุ้ง ชื่อว่าเจ้า "จมูกยาว" หรือ long nose shrimp มีทั้งหมด
5 ตัว แต่แยกตัวผู้กับตัวเมียไม่ออกเพราะลักษณะคล้ายกันมาก ส่วนเจ้าเชอรี่ก็เริ่มโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จึงเอารูปมาอัพเดทไว้เนื่องจากมีเสียงเรียกร้องจากสมาชิกชมรมเลี้ยงกุ้งอีกท่านหนึ่งขอมาว่าอยากดู.
^ เจ้าเชอรี่แสดงความเป็นเจ้าถิ่น
ThailandBookFair2008
วันนี้ได้โอกาสไปเดินงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์ฯ สิริกิต โดยการชักชวนของเพื่อนสาวคลองสาม
ที่อุตส่าห์มาทั้งที่เป็นวันอาทิตย์ด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งผู้เข้าชมงานก็มีจำนวนมากเหมือนทุกครั้ง
ก็เกิดความสังสัยว่าไม่กี่วันก่อนดูข่าวทางทีวีแล้วนักข่าวได้บอกว่าจำนวนคนไทยเฉลี่ยอ่านหนังสือปีละ
2 เล่ม หรือไม่อ่านเลย ทำให้สงสัยกับจำนวนผู้คนที่มางานเป็นจำนวนมากในแต่ละครั้ง แต่ก็อาจจะเป็น
ไปได้ที่คนส่วนมากจะอยู่เฉพาะในกรุงเทพ ทำให้จำนวนเฉลี่ยทั้งประเทศออกมาอย่างนั้น แต่ผมรู้สึกผิด
ปกติกับเรื่องปกติในการมาซื้อหนังสือของคนจำนวนมากที่หิ้วถุงกลับไปเต็มสองมือ ในขณะที่จำนวนคน
ที่เตรียมถุงผ้าหรือกระเป๋ามาเองนั้นมีจำนวนน้อยมากจากที่สังเกต ทำให้ผมรู้สึกว่าการรณรงค์ให้ลดใช้
ถุงพลาสติกนั้นยังไม่เข้าไปสถิตในใจผู้คนมากเท่าที่ควร.
วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ที่เก่าเวลาเดิน@VER GALLERY
วันนี้ได้เดินทางไปดูงานที่คลองสานพลาซ่า โดยตั้งใจจะไปดูงานของ ยูรี เกนสาคู
ที่จัดแสดงอยู่ เดินดูร้านค้าข้างทางไปจนเกือบถึงท่าเรือข้ามฟากจึงเห็นป้ายของ
ver gallery บอกทางขึ้นไปที่ชั้นสองของตึกแถวที่เป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการ
ด้วยความที่เคยมาเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกงงๆกับสถานที่เล็กน้อย กับทางขึ้นที่เล็ก
และมืด แต่เมื่อเดินมาถึงห้องที่จัดนิทรรศการก็รู้สึกว่า เป็นแกลลอรี่ที่เหมาะแก่การ
แสดงงานศิลปะแห่งหนึ่ง เพราะด้วยห้องที่เป็นกระจกที่แสงธรรมชาติ สามารถส่อง
เข้ามาได้ และบรรยากาศด้านนอกมองออกไปเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้รู้สึกถึง
บรรยากาศที่สามารถเดินดูงานได้อย่างสบายใจ ซึ่งงานของยูรี เกนสาคู ที่กำลัง
จัดแสดงอยู่นั้นก็ให้ความรู้สึกถึงความเป็นอดีตที่ดูเป็นมิตร จากการเลือกใช้วัสดุ
ที่อยู่รอบๆตัวมาตั้งแต่อดีต มาดัดแปลงผสมกับการ Painting จนเกิดเป็นงาน
ศิลปะที่มีร่องรอยของความทรงจำในอดีตผสมอยู่
Com5 Exhibition
หลังจากจบวิชาคอม 5 มาแล้วก็ยังไม่ได้เขียนถึงความรู้สึกถึงวิชานี้เพราะช่วงแรกๆ
ยังนอนแล้วฝันว่าพรุ่งนี้ต้องส่งงานอยู่ (หลอน) หลังจากสอบเสร็จแล้วก็เลยมีเวลา
กลับมานั่งยอนคิดถึงสิ่งที่ได้จากการเรียนวิชาอันเป็นที่สุดของภาควิชาออกแบบ
นิเทศศิลป์วิชานี้ ซึ่งก็นึกย้อนไปถึงคลาสแรกๆที่ยังมึนงงว่าควรจะต้องทำอะไรกับ
วิชานี้ และการที่อาจารย์ได้ให้ "อิสระ" ในการที่แต่ละคนจะเลือกสร้างงานขึ้นมาด้วย
ตนเองนั้น ทำให้รู้สึกว่าการมีอิสระมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะจากการที่เคย
ทำงานตามกรอบของโจทย์ในแต่ละวิชา จึงไม่เคยที่จะคิดงานจากความคิดของตัวเอง
จึงเป็นการยากที่จะควบคุม "อิสระ" ที่ได้มาในครั้งนี้
โดยผมเองรู้สึกชอบชั้นเรียนในช่วงเช้า ที่เป็นการให้เตรียมเรื่องที่สนใจในสัปดาห์
ที่ผ่านมา (ในห้องเรียกว่า "เรื่องฉูดฉาด") นำมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในห้อง
โดยผมเองรู้สึกว่าจากการที่นักศึกษาได้ถูกกระตุ้นโดยอาจารย์ให้แสดงความคิดเห็น
แต่ละคนก็มีความพยายามที่จะออกความคิดเห็นถึงแม้จะมากบ้างน้อยบ้างก็ตาม
ส่วนความคิดเห็นของอาจารย์ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมต้องกลับมาคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องราว
ต่างๆ ที่ปกติแล้วเป็นเรื่องที่ไม่เคยจะคิด เพราะรู้สึกว่ามันเป็นปกติของมันอยู่แล้ว
ในชั้นเรียนสุดท้ายที่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกันในห้องจัดแสดงนิทรรศการอาจารย์ได้ฝาก
ไว้ว่า "อยากให้วิชานี้เป็นเหมือนนาฬิกาปลุก เพื่อให้ทุกคนตื่นและหันมาสนใจกับสิ่งที่กำลัง
เกิดขึ้น ว่ามาตรฐานของนักศึกษาวิชาออกแบบชั้นปีที่ 4 ควรจะเป็นอย่างไร " ผมรู้สึกว่า
นาฬิกาปลุกได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว อยู่ที่ว่าใครจะลุกขึ้นมาหรือเลือกที่จะปิดนาฬิกา
แล้วนอนต่อ.
พบกันใหม่โอกาสหน้่า.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)